7 เคล็ดลับเลี่ยงกับดัก เปิดร้านยังไงก็รอด - ถ้าอยากให้

7 เคล็ดลับเลี่ยงกับดัก
เปิดร้านยังไงก็รอด

คุณกำลังจะเปิดร้านใหม่ใช่ไหม? ถ้าใช่ ก็น่ายินดีด้วยที่กำลังจะก้าวสู่เส้นทางผู้ประกอบการร้านค้าใหม่ของตัวเอง แต่อย่าให้ความตื่นเต้นกลบความรอบคอบ เพราะมีหลายเรื่องที่เจ้าของร้านมือใหม่มักมองข้ามไป ซึ่งปัญหาเหล่านี้มักตามมาสร้างความสะดุดตั้งแต่เดือนแรกที่เปิดร้านเลยทีเดียว ยืนยันได้จากสถิติในธุรกิจร้านอาหารไทยที่พบว่าร้านเปิดใหม่กว่าครึ่งหนึ่งต้องปิดตัวลงภายในปีแรก สาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากการวางแผนที่พลาดเรื่องต้นทุนและการดำเนินงานตั้งแต่เริ่มต้นนั่นเอง บทความนี้เราจะมาดูกันว่ามือใหม่เปิดร้าน “7 กับดัก” อะไรบ้างที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อให้คุณเตรียมพร้อมและไม่ต้องมาเจ็บตัวภายหลัง

1. เลือกโลเคชันเพราะ “ถูก” ไม่ใช่เพราะ “คนเดิน”

หลายคนเวลาเลือกทำเลเปิดร้าน มักโฟกัสที่ทำเลซึ่งค่าเช่าถูกที่สุดเพื่อประหยัดต้นทุน แต่ลืมคิดถึงปัจจัยเรื่องจำนวนลูกค้าที่เดินผ่านหรือกลุ่มคนในบริเวณนั้นว่าตรงกับร้านของตนเองหรือไม่ เพราะต่อให้ค่าเช่าจะถูกเพียงใด แต่ถ้าแทบไม่มีลูกค้าเดินเข้าร้านเลย ก็ยากที่จะทำยอดขายให้เพียงพอจะเลี้ยงธุรกิจได้ ไม่นานต้นทุนที่เคยต่ำก็จะกลายเป็นภาระที่ไม่ก่อรายได้ และร้านอาจไปไม่รอดตั้งแต่ช่วงแรก ๆ

“ทำเล” ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยชี้ความสำเร็จหรือล้มเหลวของธุรกิจ การเลือกร้านที่ค่าเช่าถูกหรือแพงย่อมส่งผลต่อธุรกิจอย่างมาก เพราะค่าเช่าเป็นต้นทุนคงที่ที่ต้องจ่ายทุกเดือนจนกว่าจะเลิกกิจการ ดังนั้นอย่ามองแค่ราคาถูกแต่ต้องดูศักยภาพทำเลด้วย ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าสิ่งแรกที่ต้องคิดเมื่อตัดสินใจเลือกที่ตั้งร้าน คือทำเลนั้นตรงกับ กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย หรือไม่ ร้านของเราขายสินค้า/บริการประเภทไหน เหมาะกับคนกลุ่มใด มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างไรในบริเวณนั้น หากเลือกทำเลผิดที่ไม่มีกลุ่มลูกค้าเราอยู่ ต่อให้ย่านนั้นคนพลุกพล่านก็ขายไม่ได้และสุดท้ายอาจต้องปิดตัวลง ก่อนเลือกทำเลควรสำรวจทั้งปริมาณคนเดินผ่าน และ โปรไฟล์ของคนเหล่านั้นว่าเป็นลูกค้าที่มีโอกาสซื้อสินค้าของเราจริงหรือไม่ (คนเยอะแต่ไม่ตรงกลุ่มก็ขายไม่ได้) การเลือกทำเลที่ค่าเช่าอาจสูงขึ้นอีกนิดแต่มีลูกค้าเป้าหมายหนาแน่น ย่อมดีกว่าเลือกที่เช่าถูกมากแต่ไร้ลูกค้าเดิน ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงที่เปิดร้านแล้วจะเงียบเหงาจนเจ็บตัวภายหลัง

2. ไม่คำนวณ “ค่าใช้จ่ายแฝง” ที่มาทีหลังแต่แรงมาก

เจ้าของร้านมือใหม่มักจะวางแผนงบประมาณแค่ค่าใช้จ่ายหลัก ๆ เช่น ค่าเช่าที่ ค่าตกแต่งร้าน หรือค่าสินค้าสต็อก แต่ มองข้าม “ค่าใช้จ่ายแฝง” อีกหลายอย่างที่ตามมาภายหลังและมีมูลค่าสูงจนน่าตกใจ เมื่อต้องจ่ายจริง ตัวอย่างแรก ๆ คือ ค่ามัดจำและค่าใช้จ่ายตอนเช่าพื้นที่ ที่หลายคนไม่ได้เผื่อไว้ล่วงหน้า ปกติการเช่าพื้นที่เปิดร้านจะต้องมีค่ามัดจำซึ่งอาจสูงถึงประมาณ 3 เดือนของค่าเช่าสำหรับพื้นที่นอกห้าง และสูงถึง 6 เดือนสำหรับพื้นที่ในห้างสรรพสินค้า นอกจากนี้ยังมีการเก็บค่าเช่าล่วงหน้า 1 เดือน รวมถึงค่าประกันภัยและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ด้วย รวมแล้วผู้เช่าต้องเตรียมเงินก้อนนี้ไม่น้อยกว่า 4–7 เดือนของค่าเช่า เลยทีเดียว ซึ่งเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้ถ้าไม่ได้วางแผนไว้ตั้งแต่ต้นอาจกระทบสภาพคล่องอย่างแรงในช่วงเปิดร้านใหม่ นอกจากนี้ ค่าก่อสร้างตกแต่งมักจะบานปลายเกินงบ เกือบทุกร้าน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เผื่อเงินเผื่อเหตุไม่คาดฝันไว้อย่างน้อย 10–15% ของงบก่อสร้างที่คำนวณไว้ เพราะแทบไม่มีโปรเจคไหนที่จบตามงบประมาณเดิมเป๊ะ ๆ (เช่น หน้างานอาจมีปัญหาที่ต้องแก้ไขเพิ่ม, เจ้าของต้องการปรับแบบเพิ่มระหว่างทำ, ฯลฯ) หากไม่เผื่องบส่วนนี้ไว้ เจ้าของร้านอาจต้องควักเงินเพิ่มแบบไม่ทันตั้งตัว

อีกค่าใช้จ่ายแฝงก้อนโตที่หลายคนมักนึกไม่ถึงคือ ค่าอุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการเปิดร้านจริง ๆ ยกตัวอย่างในธุรกิจร้านอาหาร มือใหม่หลายคนตั้งงบซื้ออุปกรณ์ครัวไว้น้อยเกินไป พอเอาเข้าจริงต้องซื้ออุปกรณ์เพิ่มอีกหลายรายการ บางชิ้นราคาสูงกว่าที่คิดไว้มาก ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้บอกว่าค่าอุปกรณ์ครัวบางอย่างอาจสูงจน “ทำให้คุณหงายหลังได้เลย” หากไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน นั่นคืออาจแพงจนช็อกเพราะแต่ละยี่ห้อหรือสเปกมีราคาแตกต่างกันหลายเท่าตัว เจ้าของร้านใหม่จึงควรปรึกษาผู้มีประสบการณ์เพื่อประเมินค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้ครบถ้วนสมจริงที่สุด ก่อนที่จะเจอค่าใช้จ่ายเกินงบมาทำให้เงินทุนร่อยหรอในภายหลัง

ค่าใช้จ่ายแฝงไม่ได้มีเฉพาะช่วงเริ่มต้นเท่านั้น หลังเปิดร้านไปแล้วก็ยังมีรายจ่ายจิปาถะอีกมากมายที่หลายคนมองข้าม เช่น ค่าน้ำ-ค่าไฟที่บางฤดูกาลอาจพุ่งสูง, ค่าบำรุงรักษาอุปกรณ์และซ่อมแซมสิ่งของที่เสียหาย, ค่าวัสดุสิ้นเปลืองในสำนักงานหรือร้าน (กระดาษ, หมึกพิมพ์, อุปกรณ์ทำความสะอาด), ค่าเดินทางและค่าน้ำมันในการไปติดต่อซื้อของ หรือแม้แต่ต้นทุนจากสินค้าที่เสียหาย/หมดอายุจนต้องทิ้ง เป็นต้น ค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจดูไม่มากเมื่อแยกเป็นรายการย่อย แต่พอสะสมรวมกันตลอดทั้งปี ก็เป็นเงินจำนวนไม่น้อยและบั่นทอนกำไรของร้านไปแบบไม่รู้ตัว ผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีเตือนว่าค่าใช้จ่ายบริหารจัดการยิบย่อยเหล่านี้เมื่อรวมรายปีแล้วสามารถกระทบกำไรธุรกิจได้มากอย่างคาดไม่ถึง นอกจากนี้ ค่าสินค้าที่เสียหายหรือเสื่อมสภาพ ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของต้นทุนแฝงที่เจ้าของกิจการหลายรายมักลืมนับรวม โดยค่าใช้จ่ายส่วนนี้เกิดได้หลายกรณี เช่น สินค้าแตกหักระหว่างขนส่ง เสียหายระหว่างวางขายหน้าร้าน หรือสินค้าหมดอายุค้างสต็อก วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือต้องประมาณการอัตราสินค้าเสียหายไว้ล่วงหน้า และบวกต้นทุนส่วนนี้เข้าไปในการตั้งราคาสินค้าด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วเมื่อความเสียหายเกิดขึ้นจริง จะกลายเป็นภาระค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่ฉุดกำไรให้หายไปอย่างน่าเสียดาย

3. ไม่คิดเรื่อง “ระบบหลังร้าน” เลย

เมื่อลงมือเปิดร้านใหม่ หลายคนมักโฟกัสแต่ “หน้าร้าน” – ตั้งแต่ตกแต่งร้าน จัดสินค้า และโปรโมตให้คนเข้าร้าน – จนหลงลืมเรื่อง “หลังร้าน” ซึ่งหมายถึงระบบและกระบวนการจัดการธุรกิจที่ทำให้ร้านอยู่รอดได้ในระยะยาว เช่น ระบบสต็อกหรือบัญชีต่าง ๆ การละเลยระบบหลังบ้านเหล่านี้อาจทำให้การดำเนินงานสะดุดโดยไม่รู้ตัว ธุรกิจอาจของหมดโดยไม่รู้ล่วงหน้า หรือเงินรั่วไหลโดยไม่มีการบันทึกที่ดี จริง ๆ แล้วมีข้อมูลระบุว่าการไม่มีระบบจัดการสต็อกที่ดีเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กล้มเหลว อีกทั้งกว่า 46% ของธุรกิจขนาดเล็กยังไม่มีระบบติดตามสต็อกสินค้า ที่มีประสิทธิภาพเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นอย่ามองข้ามงานหลังบ้าน เพราะมันคือเบื้องหลังความสำเร็จของหน้าร้านโดยตรง

ระบบหลังร้านสำคัญ ๆ ที่เจ้าของร้านควรจัดให้มี ได้แก่:

  • ระบบจัดการสต็อกสินค้า – ตรวจสอบจำนวนสินค้าเข้าออก ควบคุมไม่ให้ของขาดหรือเกินโดยไม่รู้ตัว
  • ระบบรายงานยอดขาย – สรุปยอดขายรายวัน/รายเดือน ดูสินค้าอะไรขายดีหรือขายไม่ดี เพื่อปรับกลยุทธ์การขายได้ถูกจุด
  • ระบบเก็บข้อมูลลูกค้า – ฐานข้อมูลสมาชิกหรือประวัติการซื้อของลูกค้า สำหรับทำการตลาดในอนาคตหรือจัดโปรโมชันกระตุ้นการกลับมาซื้อซ้ำ
  • ระบบบริหารพนักงาน – จัดตารางเวลางานและติดตามการขายของพนักงานแต่ละคน เพื่อให้มั่นใจว่าการบริการเป็นไปอย่างราบรื่นและตรวจสอบได้

ระบบสมัยใหม่หลายอย่างสามารถช่วยแบ่งเบาภาระงานหลังร้านได้มาก ตัวอย่างเช่น ระบบ POS (Point of Sale) อย่าง StoreHub ที่รวมการจัดการหลังร้านไว้ในที่เดียว ตั้งแต่การบันทึกยอดขาย ตัดสต็อกสินค้าอัตโนมัติ ไปจนถึงระบบสมาชิกและรายงานการขายแบบเรียลไทม์ ทำให้เจ้าของร้านตรวจสอบข้อมูลสำคัญได้ทันที การมีระบบหลังร้านที่ดีจะช่วยลดความผิดพลาดในการดำเนินงานและป้องกันปัญหาจุกจิกต่าง ๆ ได้ เจ้าของร้านก็จะมีเวลาไปใส่ใจกับการขายและบริการหน้าร้านเต็มที่ โดยไม่ต้องมาวุ่นแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดจากหลังร้านอีกต่อไป

4. “เปิดร้านแล้วค่อยทำเพจ” (ผิด!)

ความเข้าใจผิดข้อนี้พบได้บ่อยมากกับมือใหม่เปิดร้าน เช่น คิดว่า “รอเปิดร้านก่อนแล้วค่อยสร้างเพจโปรโมตก็ได้” แต่ความจริงแล้วนี่เป็นกลยุทธ์ที่พลาดอย่างแรง! การไม่มีเพจหรือโซเชียลมีเดียประชาสัมพันธ์ร้าน ก่อน เปิดร้าน ทำให้เราเสียโอกาสในการสะสมกลุ่มลูกค้าที่รออุดหนุนตั้งแต่วันแรกที่เปิดร้าน ลองนึกภาพว่าถ้าเราเปิดร้านมาวันแรกโดยที่ยังไม่มีใครรู้จักเลย วันเปิดตัวก็อาจจะเงียบเหงา ไม่มีลูกค้ามาเยี่ยมชมเท่าที่ควร ต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะสร้างการรับรู้ (Awareness) ได้ ในทางกลับกัน ถ้าเรามีเพจร้านล่วงหน้าและมีคนติดตามรออยู่แล้ว วันเปิดร้านจริงก็เปรียบเสมือนมีลูกค้าต่อคิวรอซื้อสินค้าอยู่ก่อนแล้ว

พฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้เปลี่ยนไปมาก คนส่วนใหญ่มักค้นหาข้อมูลออนไลน์ก่อนตัดสินใจซื้อหรือไปร้านค้า ไม่ว่าจะผ่าน Google หรือโซเชียลมีเดีย ยืนยันด้วยผลสำรวจที่พบว่าผู้ซื้อกว่า 78% มักจะเข้าไปค้นหาข้อมูลบนโซเชียลมีเดียของร้านค้าก่อนที่จะตัดสินใจซื้อสินค้า ถ้าร้านของเราไม่มีตัวตนบนโลกออนไลน์เลย ลูกค้าก็อาจไม่รู้จักร้านเรา หรือไม่มั่นใจว่าจะได้รับบริการที่ดี การมีหน้าเพจ Facebook/Instagram ของร้าน เปรียบเสมือนการมีโปรไฟล์ให้ลูกค้าได้ทำความรู้จักและสร้างความน่าเชื่อถือ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจมาที่ร้านหรือสั่งซื้อสินค้าจริง ๆ

ดังนั้น ควรเริ่มสร้างเพจและโปรโมตร้านล่วงหน้าประมาณ 2–4 สัปดาห์ก่อนเปิดร้าน จะดีที่สุด ช่วงเวลานี้เราสามารถทยอยลงเนื้อหาที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย เช่น โพสต์ภาพเบื้องหลังการเตรียมร้าน แนะนำสินค้าที่จะขาย หรือคอนเทนต์นับถอยหลังสู่วันเปิดร้าน วิธีนี้จะช่วยสะสมผู้ติดตามให้เพจเรา พร้อมทั้งสร้างความตื่นเต้นให้ลูกค้าอยากมาอุดหนุนทันทีที่ร้านเปิดจริงๆ มีคำแนะนำทางการตลาดระบุไว้ว่าประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนวันเปิดตัว ควรเริ่มปล่อยข้อมูล ทีเซอร์ (Teaser) ผ่านช่องทางออนไลน์ของร้าน เพื่อบอกใบ้ให้ลูกค้ารู้ว่ากำลังจะมีอะไรใหม่ ๆ มาเร็ว ๆ นี้ เมื่อถึงวันเปิดร้านจริง เราก็จะมีฐานแฟนคลับกลุ่มแรกที่พร้อมเข้ามาซื้อ ไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ให้เหนื่อยทีหลัง

ในทางตรงกันข้าม หากเรา “เปิดร้านแล้วค่อยทำเพจ” ตามความเข้าใจผิดนี้ เท่ากับเราปล่อยเวลาทองในการโปรโมตไปโดยเปล่าประโยชน์ กว่าจะสร้างการรับรู้ให้ลูกค้ากลุ่มใหม่ได้ก็อาจสายไปเสียแล้ว ยิ่งยุคนี้คู่แข่งมีมาก การประชาสัมพันธ์ช้าอาจทำให้ลูกค้าไปซื้อร้านอื่นที่เขารู้จักมากกว่าก็ได้ เพราะฉะนั้นเปิดร้านทั้งที อย่าลืมเรื่องเพจก่อนเปิดร้าน เตรียมความพร้อมทั้งหน้าร้านและออนไลน์ควบคู่กันไป จะช่วยให้ธุรกิจใหม่ของเรามีคนรู้จักและมีลูกค้ารอตั้งแต่วันแรกที่เปิดประตูร้านค่ะ

5. ไม่วางแผนโปรโมชั่นล่วงหน้า

อีกหนึ่งความผิดพลาดที่พบได้คือ ไม่มีการวางแผนโปรโมชันไว้ล่วงหน้า เจ้าของร้านหลายคนมักจะมาเร่งคิดโปรโมชันตอนยอดขายเริ่มตกหวังพยุงยอด แบบนี้ถือเป็นการแก้เกมเฉพาะหน้าที่เสี่ยงและไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร เพราะโปรโมชันที่คิดสดๆ ไม่ได้ผ่านการวางแผนล่วงหน้า มักขาดประสิทธิภาพ ทั้งในแง่การเข้าถึงลูกค้าและผลกระทบต่อยอดขาย ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจลดราคาแบบกระทันหันเพื่อหวังเรียกลูกค้า แต่ดันไม่มีกลยุทธ์ประชาสัมพันธ์ที่ดี ลูกค้าหลายคนก็อาจไม่รู้ถึงโปรนั้น หรือรู้ก็อาจไม่พร้อมซื้อ ณ ตอนนั้น โปรโมชันจึงควรเป็นสิ่งที่วางแผนไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่สิ่งที่นึกขึ้นมาแบบฉุกละหุกตอนเกิดปัญหา

ทางที่ดีควรเตรียมแผนโปรโมชันไว้ล่วงหน้าประมาณ 2 สัปดาห์ – 1 เดือน ทุกครั้งที่คิดจะจัดโปรฯ ใหม่ ๆ การมีเวลาเตรียมตัวล่วงหน้าจะช่วยให้เรา ตรวจสอบสต็อกสินค้า ว่ามีเพียงพอกับความต้องการที่จะเกิดขึ้นหรือไม่ (กันไม่ให้จัดโปรไปแล้วของไม่พอขาย) และมีเวลาสำหรับ เตรียมคอนเทนต์ โปรโมทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแบนเนอร์ โพสต์บนเพจ หรือสื่อประชาสัมพันธ์ในร้าน นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้เราได้ แจ้งข่าวโปรโมชันให้ลูกค้าทราบล่วงหน้า ซึ่งสำคัญมากในการกระตุ้นความสนใจลูกค้า – ถ้าเราไม่มีช่วงบอกโปรโมชั่นล่วงหน้า แล้วจู่ ๆ ค่อยปล่อยโปรออกมาแบบจำกัดเวลา ผลลัพธ์จะน้อยกว่าการที่ลูกค้ารู้ตัวล่วงหน้าว่าจะมีโปรแน่นอน (เพราะไม่ใช่ทุกคนจะเห็นโปรแล้วพร้อมควักเงินซื้อทันที) การบอกกล่าวล่วงหน้ายังช่วยให้ลูกค้าบางส่วนได้เตรียมตัว เช่น เล็งสินค้าที่อยากซื้อไว้หรือเก็บเงินรอ พอถึงเวลาจัดโปรจริง ๆ จะได้ตัดสินใจซื้อทันที

ลองวางแผนโปรโมชันให้สอดคล้องกับช่วงเวลาสำคัญหรือกิจกรรมของร้าน เช่น ช่วงเปิดร้านใหม่ ช่วงเทศกาล หรือช่วงสินค้าขายตก เพื่อกระตุ้นยอดขายได้ตรงจังหวะ ตัวอย่างโปรโมชัน ที่ควรคิดไว้ล่วงหน้า เช่น:

  • โปรเปิดร้านใหม่: ลดราคาพิเศษเฉพาะ วันแรก ที่เปิดร้าน เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาลองสินค้าหรือบริการเราเยอะ ๆ ตั้งแต่วันเปิดตัว

  • โปรโมชันแชร์รีวิว: ชวนลูกค้าที่มาอุดหนุนในช่วงแรก ๆ ให้โพสต์รีวิวหรือแชร์รูปสินค้าของร้านลงโซเชียลมีเดีย แล้วแสดงโพสต์นั้นเพื่อรับส่วนลดในการซื้อครั้งถัดไป เป็นการกระตุ้นให้เกิดการบอกต่อแบบปากต่อปากและเพิ่มการรับรู้ให้ร้านเรา

โปรโมชันที่ผ่านการวางแผนมาอย่างดี ย่อมได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า โปรที่จัดแบบกะทันหันเสมอ เพราะเราเลือกช่วงเวลาได้เหมาะสม เตรียมของพร้อม และลูกค้ารับรู้ล่วงหน้าแล้ว ตัวอย่างเช่น งานวิจัยด้านการตลาดชี้ว่า การโฆษณาแจ้งโปรโมชันล่วงหน้าและเปิดให้ลูกค้า “จอง” หรือใส่สินค้าลงตะกร้ารอไว้ สามารถทำให้ช่วงเวลาที่โปรโมชันเริ่มต้นจริง มียอดขายพุ่งสูงขึ้นกว่าการจัดโปรแบบไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้าอย่างมาก (เพราะลูกค้าแค่กดสั่งซื้อและชำระเงินทันทีที่โปรเริ่ม) เห็นได้ว่าการวางแผนที่ดีทำให้โปรโมชันทรงพลังขึ้นมาก ทั้งช่วยเพิ่มยอดขายแบบก้าวกระโดดและสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าได้พร้อม ๆ กัน ดังนั้นอย่ารอให้ยอดตกแล้วค่อยนึกโปรโมชั่นฉุกเฉิน แต่ควรมีแผนโปรโมชันรองรับไว้ล่วงหน้าตลอดเวลา เพื่อที่ธุรกิจของเราจะได้เดินหน้าอย่างราบรื่นและยั่งยืน

6. เชื่อว่า “ของดีคนจะบอกต่อเอง”

หลายคนเชื่อว่าถ้าสินค้าหรือบริการเราดีพอ ลูกค้าจะบอกต่อกันเองโดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม แต่ความจริงแล้ว การตลาดแบบปากต่อปาก (Word of Mouth) จะเกิดขึ้นได้เต็มที่ก็ต่อเมื่อลูกค้าได้รับแรงกระตุ้นหรือมีเหตุจูงใจให้พูดถึงเรา กล่าวคือ เราต้องสร้างสถานการณ์หรือประสบการณ์ที่ “ว้าว” จนเขาอยากแชร์ต่อเอง ไม่ใช่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามยถากรรม แม้ว่าการบอกต่อจากคนใกล้ชิดจะทรงพลังมาก (มีการสำรวจพบว่าผู้บริโภคถึง 92% เชื่อคำแนะนำจากเพื่อนและครอบครัวมากกว่าการโฆษณาทุกรูปแบบ) แต่ร้านค้าก็ต้องมี ตัวช่วยกระตุ้น ให้เกิดการบอกต่อเหล่านั้นด้วย

ตัวอย่างวิธีง่ายๆ ที่ช่วยกระตุ้นการบอกต่อ ได้แก่:

  • จัดมุมถ่ายรูปเก๋ๆ ในร้าน: ยุคนี้ลูกค้าหลายคนชอบเช็คอินและถ่ายรูปเวลาไปร้านเด็ดๆ โดยเฉพาะร้านคาเฟ่หรือร้านอาหารที่มีมุมสวยๆ การมีมุมถ่ายรูปประจำร้านจะช่วยดึงดูดให้ลูกค้าถ่ายภาพแล้วโพสต์ลงโซเชียล มีเดีย (เช่น Instagram, Facebook) พร้อมแท็กโลเคชันร้าน ซึ่งการ “แชะแล้วแชร์” แบบนี้จากลูกค้าจริงช่วยสร้างกระแสและก่อให้เกิดการบอกต่ออย่างมาก ร้านของคุณก็จะได้โปรโมทผ่านหน้าฟีดของลูกค้าไปโดยปริยาย

  • ขอรีวิวจากลูกค้าพร้อมมอบของตอบแทน: การได้รีวิวจริงจากลูกค้ามีค่ามหาศาล ยิ่งถ้าเป็นรีวิวเชิงบวกจะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ร้านเราได้มากกว่าคำโฆษณาที่เราพูดเอง การกระตุ้นให้ลูกค้าเต็มใจรีวิวสามารถทำได้ด้วยการจัดแคมเปญเล็กๆ เช่น ให้ส่วนลดในครั้งถัดไปหรือของสมนาคุณเล็กๆ น้อยๆ เมื่อเขารีวิวร้านเราอย่างจริงใจลงบนแพลตฟอร์มต่างๆ เทคนิคนี้เป็นการแลกเปลี่ยนที่วิน-วิน: ลูกค้าได้ของตอบแทน ส่วนร้านได้เสียงชื่นชมเผยแพร่ออกไป และเสียงรีวิวหนึ่งเสียงอาจต่อยอดเป็นลูกค้าใหม่อีกจำนวนมากได้จริงๆ

  • สร้างกิจกรรมที่ลูกค้าอยากแชร์: ลองคิดกิจกรรมหรือโปรโมชันสนุกๆ ที่ลูกค้าอยากมีส่วนร่วมและแชร์ต่อ เช่น การท้าให้ลูกค้าถ่ายรูปกับเมนูใหม่ของร้านแล้วติดแฮชแท็กชิงรางวัล, กิจกรรมแข่งขันเล็กๆ ในร้าน, หรือแคมเปญโปรโมชั่นที่คุ้มค่าจนต้องบอกต่อ เป็นต้น กิจกรรมเหล่านี้ทำให้ลูกค้ารู้สึกมีส่วนร่วมกับแบรนด์และเกิดประสบการณ์พิเศษ ยิ่งถ้า องค์ประกอบต่าง ๆ ของร้านสร้างความประทับใจจนลูกค้า “อยากบอกต่อ” ไม่ว่าจะรสชาติอร่อยสุดๆ การบริการยอดเยี่ยม หรือโปรโมชันคุ้มค่าเกินต้าน ลูกค้าก็พร้อมจะส่งต่อเรื่องราวดีๆ นี้ให้คนอื่นๆ การบอกต่อด้วยความสมัครใจของลูกค้าจะทรงพลังและจริงใจ ซึ่งส่งผลดีกับภาพลักษณ์ร้านในระยะยาว

ดังนั้นอย่าปล่อยให้ “ของดีคนจะบอกต่อเอง” เป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ เจ้าของร้านควรใส่ใจสร้าง จุดเด่น ที่ชวนให้ลูกค้าอยากเล่าอยากแชร์ ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศร้าน มุมถ่ายรูป บริการ หรือแคมเปญสนุกๆ รวมถึง ขอความร่วมมือ จากลูกค้าอย่างแนบเนียนผ่านการรีวิวหรือการแชร์ลงโซเชียล วิธีเหล่านี้ล้วนเป็นการจูงใจให้เกิดการบอกต่อที่ได้ผลจริง โดยมีต้นทุนไม่สูงเมื่อเทียบกับการโฆษณาแบบอื่นๆ และที่สำคัญคือเป็นการบอกต่อที่ทรงพลังเพราะมาจากใจของลูกค้าเอง

7. ไม่มีระบบ POS ที่ช่วยเก็บยอด-สต๊อก

บางร้านยังคงบริหารสต๊อกสินค้าและยอดขายด้วยการคาดเดาหรือจำเอาเอง (“วันนี้ขายดีแค่ไหนนะ? เหลือสต๊อกประมาณเท่าไหร่?”) ซึ่งการใช้วิธีเดาสุ่มเช่นนี้ถือเป็นความเสี่ยงอย่างมาก เพราะข้อมูลอาจคลาดเคลื่อนไม่ตรงความเป็นจริง ร้านค้าอาจเผลอปล่อยให้สินค้าหมดเกลี้ยงโดยไม่รู้ตัว หรือสั่งของมาสต๊อกไว้มากเกินไปจนทุนจม นอกจากนี้การกะประมาณยอดขายจากความรู้สึกยังทำให้มองไม่เห็นภาพที่แท้จริงของธุรกิจ ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาดได้ง่าย

ระบบ POS (Point of Sale) จึงเปรียบเสมือนเพื่อนรู้ใจหรือผู้ช่วยคนสำคัญของร้านยุคใหม่ที่เจ้าของร้านควรมีไว้ ระบบ POS สมัยใหม่ไม่ใช่แค่เครื่องคิดเงินธรรมดา แต่เป็น ระบบจัดการร้านแบบครบวงจร ที่ช่วยเก็บข้อมูลและประมวลผลการดำเนินงานหลายด้านแบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็น ยอดขาย, สต๊อกสินค้า, ข้อมูลลูกค้า ไปจนถึง การทำงานของพนักงาน ก็สามารถจัดเก็บในที่เดียวได้อย่างเป็นระบบ เจ้าของร้านสามารถดูรายงานยอดขายแบบเรียลไทม์ แยกตามช่วงเวลา หรือตรวจสอบสินค้าไหนขายดีขายไม่ดีได้ทันที ลดการใช้การคาดเดาล้วนๆ ที่เสี่ยงต่อความผิดพลาด

ที่สำคัญ ระบบ POS จะอัปเดตสต๊อกสินค้าให้อัตโนมัติทุกครั้งที่ขาย ทำให้คุณรู้ปริมาณคงเหลือจริงแบบเรียลไทม์และแจ้งเตือนเมื่อสินค้าควรเติมสต๊อก ช่วยป้องกันปัญหาของหมดโดยไม่รู้ตัวและไม่เสียโอกาสการขาย ต่างกับการจดมือหรือเดาจำนวนที่อาจทำให้สต๊อกคลาดเคลื่อน นอกจากนี้ระบบยังช่วยสรุปยอดขายสิ้นวันอย่างแม่นยำ ตรงกับเงินจริง ลดความผิดพลาดเรื่องเงินหลงเงินหายได้ด้วย

ระบบ POS ที่ดีเปรียบเหมือนมีผู้จัดการร้านตลอด 24 ชั่วโมง โดย รวบรวมข้อมูลสำคัญของธุรกิจไว้ครบถ้วน และนำเสนออกมาเป็นรายงานที่เข้าใจง่าย เจ้าของร้านสามารถเรียกดูผ่านมือถือหรือคอมพิวเตอร์จากที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องรอปิดยอดสิ้นเดือนแล้วมานั่งเดาว่ากำไรขาดทุนเท่าไร นอกจากนี้หลายๆ ระบบอย่างเช่น StoreHub ยังเพิ่มฟังก์ชันเจ๋งๆ เพื่อตอบโจทย์การค้าปลีกยุคใหม่ เช่น ระบบสมาชิกและสะสมแต้มเพื่อรักษาฐานลูกค้า, เครื่องมือทำการตลาดผ่าน SMS, การจัดโปรโมชันให้ง่ายดาย, ไปจนถึงการ เชื่อมต่อช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเปิดร้านค้าออนไลน์ (Webstore) หรือเชื่อมกับ Marketplace อย่าง Shopee/Lazada ก็ทำได้ในระบบเดียว รวมถึงรองรับการชำระเงินรูปแบบใหม่ๆ (เช่น e-wallet, QR พร้อมเพย์) เชื่อมกับ POS ได้อย่างสะดวก เท่ากับว่าคุณจะได้ทั้งระบบหน้าร้านและหลังบ้านที่ทำงานประสานกันครบวงจร ตั้งแต่ขายหน้าร้านไปจนถึงสต๊อกหลังร้าน และข้อมูลลูกค้า – พนักงาน ช่วยให้บริหารธุรกิจได้รอบด้านและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

การลงทุนในระบบ POS อาจมีค่าใช้จ่าย แต่เมื่อเทียบกับประโยชน์ที่ได้รับถือว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง เพราะมันช่วยประหยัดเวลาของเจ้าของร้านและลดข้อผิดพลาดที่มาจากการจัดการเองแบบเดิมๆ คุณสามารถโฟกัสไปที่การพัฒนาสินค้าและบริการหรือดูภาพรวมธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น ปล่อยให้เรื่องตัวเลข ยอดขาย และสต๊อกเป็นหน้าที่ของระบบอัจฉริยะนี้ที่จะคอยรายงานให้ทราบทุกความเคลื่อนไหวของร้าน ดังคำเปรียบเปรยที่ว่าระบบ POS เป็นเหมือน “ฮีโร่” ของร้านค้ายุคใหม่ที่ช่วยแบ่งเบาภาระและทำให้การบริหารร้านเป็นเรื่องง่ายขึ้นจริงๆ

สรุปส่งท้าย

ทั้ง 7 ข้อที่กล่าวมาอาจดูเหมือนเรื่องเล็กๆ ในการบริหารร้าน แต่เชื่อเถอะว่าหลายร้านประสบปัญหาเหล่านี้มาแล้วและ เจ็บจริง มานักต่อนัก การมองข้ามรายละเอียดเล็กน้อยหรือยึดติดกับความเชื่อผิดๆ อาจทำให้ร้านของคุณเสียโอกาสหรือสะดุดแบบไม่รู้ตัว เจ้าของร้านยุคใหม่จึงควรใส่ใจ วางระบบการจัดการร้านให้รอบด้าน ครบทุกมิติ ตั้งแต่การตลาด การบริการ ไปจนถึงระบบหลังบ้านอย่างสต๊อกและการเงิน เพื่อป้องกันไม่ให้กับดักเล็กๆ เหล่านี้มาบั่นทอนความสำเร็จที่เราพยายามสร้างขึ้น

ท้ายที่สุดแล้ว การทำธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนต้องอาศัยการปรับตัวและเรียนรู้อยู่เสมอ ลองสำรวจทั้ง 7 ข้อนี้ว่าร้านของเรายังพลาดข้อไหนอยู่หรือไม่ หากมีก็รีบแก้ไขปรับปรุงเสียตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้ร้านของคุณพร้อมเดินหน้าอย่างมั่นคงทุกด้าน เมื่อระบบหลังบ้านแน่น หน้าบ้านก็มีเวลาไปสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่ดึงดูดลูกค้าเต็มที่ ความสำเร็จก็จะตามมาอย่างที่หวังไว้แน่นอน 

คำถามที่พบบ่อย

ทำเลที่ดีควรมีคนเดินผ่านสม่ำเสมอ และตรงกับกลุ่มเป้าหมายของร้าน เช่น ร้านแฟชั่นควรอยู่ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง ส่วนร้านของใช้ทั่วไปควรอยู่ในย่านชุมชน

จำเป็นมาก ระบบหลังร้าน เช่น ระบบสต๊อก ระบบเก็บข้อมูลลูกค้า และระบบจัดการพนักงาน ช่วยให้ร้านทำงานได้ราบรื่น ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มโอกาสทำกำไร

เพราะเพจช่วยสร้างการรับรู้ล่วงหน้า สะสมกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และสร้างความเชื่อมั่น ลูกค้าจะรู้จักร้านคุณก่อนที่จะมาเยี่ยมจริง ๆ ทำให้วันเปิดร้านไม่เงียบเหงา

ควรวางแผนล่วงหน้า 2-4 สัปดาห์ กำหนดเป้าหมาย ตรวจสอบสต๊อก เตรียมคอนเทนต์โปรโมท และแจ้งข่าวล่วงหน้าให้ลูกค้ารู้ผ่านเพจหรือโซเชียลมีเดีย

ระบบ POS ช่วยเก็บข้อมูลยอดขาย เช็กสต๊อกแบบเรียลไทม์ บันทึกข้อมูลลูกค้า และจัดการพนักงานได้ง่ายในที่เดียว เช่น StoreHub ที่ครบจบทั้งหน้าร้านและหลังร้าน

แหล่งข้อมูล

Share this Post

Hey there! Please enter your store name.

.storehubhq.com