
ตั้งราคาสินค้ายังไง ให้ขายดีและกำไร
การตั้งราคาสินค้าเป็นจุดเริ่มต้นที่มีผลโดยตรงต่อความสามารถในการทำกำไรและความอยู่รอดของธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ประกอบการมือใหม่หรือพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่กำลังเข้าสู่ตลาดแข่งขัน การตั้งราคาที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้คุณสูญเสียยอดขาย กลุ่มลูกค้า และขาดทุนแบบไม่ทันตั้งตัว ในทางกลับกัน หากคุณมีกลยุทธ์การตั้งราคาที่ถูกต้อง จะช่วยให้ธุรกิจของคุณสร้างกำไรได้อย่างมั่นคง ทั้งยังดึงดูดนักช็อปให้กลับมาซื้อซ้ำอีกครั้ง
บทความนี้จะพาคุณเรียนรู้ตั้งแต่ สูตรตั้งราคาขายเบื้องต้น, ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตั้งราคา จนถึงเทคนิคเฉพาะที่แบรนด์ประสบความสำเร็จใช้กัน พร้อมทั้งแนะนำวิธีการใช้ SMS Marketing มาเสริมยอดขายให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน
Topics
- สูตรพื้นฐานในการตั้งราคาสินค้า
- ปัจจัยสำคัญที่ควรคำนึงถึงในการตั้งราคา
- เทคนิคเสริมการตั้งราคาให้น่าซื้อ
- กระตุ้นยอดขายต่อเนื่องด้วย SMS Marketing
- บทสรุป
สูตรพื้นฐานในการตั้งราคาสินค้า
การตั้งราคาสินค้าเริ่มต้นจากการรู้ต้นทุนที่แท้จริงของสินค้า ซึ่งรวมถึงต้นทุนแฝงต่างๆ เช่น ค่าจัดส่ง ค่าแรง ค่าสถานที่ ค่าโปรโมทร้าน ฯลฯ เมื่อรวมต้นทุนทั้งหมดแล้ว คุณสามารถเลือกใช้สูตรการตั้งราคาต่อไปนี้ ซึ่งเป็นสูตรง่ายๆ ที่ใช้ได้กับทุกธุรกิจตามขั้นตอนใน Shopify ที่แนะนำไว้ว่า “ให้คุณบวกค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการนำสินค้าของคุณออกสู่ตลาด จากนั้นก็บวกกำไรเข้าไปอีก และนั่นคือราคาของคุณ”
1. ตั้งราคาจากต้นทุน (Markup on Cost)
สูตร: ราคาขาย = ต้นทุนทั้งหมดต่อชิ้น + (%กำไรที่ต้องการ × ต้นทุน)
ตัวอย่าง: ต้นทุน 100 บาท ต้องการกำไร 15% → ราคาขาย = 100 + (15% × 100) = 115 บาท
- ข้อดี: คำนวณง่าย เหมาะกับสินค้าไม่มีโปรโมชั่น
- เหมาะกับ: ผู้เริ่มต้นขายของ หรือสินค้าที่ไม่ตั้งลดราคา
2. ตั้งราคาจากราคาขาย (Markup on Selling Price)
สูตร: ราคาขาย = (100 × ต้นทุน) / (100 – %กำไรที่ต้องการ)
ตัวอย่าง: ต้นทุน 100 บาท ต้องการกำไร 15% → ราคาขาย = (100 × 100) / (100 – 15) = 118 บาท
- ข้อดี: เปิดโอกาสสำหรับการจัดโปรโมชั่น มีช่องว่างกำไรมากกว่า
- เหมาะกับ: สินค้าที่มีแผนการส่งเสริมการขายในอนาคต

ปัจจัยสำคัญที่ควรคำนึงถึงในการตั้งราคา
1. ต้นทุนทั้งหมด รวมถึงต้นทุนแฝง
อย่าพลาดการคำนวณ ต้นทุนแฝง เช่น ค่าแพ็กเกจจิง ค่าขนส่ง ค่าโฆษณา ค่าอินเทอร์เน็ต และเวลาในการบรรจุจัดการสินค้า เพราะต้นทุนเหล่านี้หากละเลย อาจทำให้มองกำไรผิด ส่งผลให้ขาดทุนโดยไม่รู้ตัว
2. กลยุทธ์ทางธุรกิจและการตลาด
การตั้งราคาควรสอดคล้องกับตำแหน่งของแบรนด์ในตลาด เพื่อให้สินค้าดูน่าเชื่อถือและโดดเด่นในตลาดที่มีการแข่งขันสูง กลยุทธ์ที่เป็นที่นิยม ได้แก่:
- Premium Pricing: เหมาะกับสินค้าที่วางภาพลักษณ์หรู มีคุณภาพสูง แต่อย่าลืมเสริมด้วยแพ็กเกจจิ้งและบริการให้สมน้ำสมเนื้อ
- Economy Pricing: ราคาถูกเพื่อขายปริมาณมาก เหมาะกับธุรกิจขนาดกลาง-ใหญ่
- Bundle Pricing: รวมสินค้าหลายชิ้นขายเป็นชุด เช่น 3 ชิ้น 100 บาท ช่วยระบายสินค้าคงคลัง
- Psychological Pricing: ใช้จิตวิทยาตัวเลข เช่น 199 บาท แทน 200 บาท ช่วยให้สินค้ารู้สึกถูกลง
- Penetration Pricing: เริ่มต้นด้วยราคาถูกเพื่อเจาะตลาด แล้วค่อยปรับขึ้นเมื่อมีฐานลูกค้า
- Seasonal Pricing: ตั้งราคาตามฤดูกาลหรืองานเทศกาล เพื่อเสริมยอดขายเฉพาะช่วง
3. ตั้งราคาตามคู่แข่ง (Competitive Pricing)
กลยุทธ์นี้คือการอ้างอิงราคาจากตลาดหรือตามคู่แข่ง โดยเฉพาะในตลาดที่สินค้าคล้ายกัน ปัจจุบันการตั้งราคาตามคู่แข่งได้รับความนิยม โดยสามารถเลือกตั้งเท่า หรือต่ำกว่าเล็กน้อย พร้อมเพิ่มมูลค่า เช่น บริการหลังการขาย การจัดส่งฟรี เพื่อครองใจลูกค้า จากรายงานของ Ad Addict เผยว่ากลยุทธ์นี้มีประสิทธิภาพมากหากคุณเข้าใจ Positioning และ Value Proposition ของตัวเองเป็นอย่างดี
4. ภาษีและข้อกฎหมาย
หากรายได้ถึงเกณฑ์ ธุรกิจจำเป็นต้องจด VAT และรวมไว้ในราคาขาย การตั้งราคาที่ไม่รวมภาษีอาจสร้างความสับสนให้ลูกค้า และทำให้คุณเสียกำไรโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นควรรู้ค่าใช้จ่ายด้านภาษีให้ชัด เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และวางแผนตั้งราคาที่รวมภาษีแล้วอย่างเหมาะสม
เทคนิคเสริมการตั้งราคาให้น่าซื้อ
1. ตั้งราคาลงท้ายด้วยเลข 9
- ตัวอย่าง: 39 บาท, 99 บาท, 299 บาท
- ช่วยกระตุ้นความรู้สึกว่าสินค้า “ราคาถูกลง” แม้จะลดลงแค่ 1 บาท
2. ตั้งราคาเดียวทั้งร้าน
- ตัวอย่าง: ทุกชิ้น 10 บาท
- ดีต่อความรู้สึกผู้ซื้อ และช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจง่ายขึ้น
3. โปร “ซื้อเยอะถูกกว่า”
- เช่น ชิ้นละ 35 บาท / 3 ชิ้น 100 บาท
- เหมาะสำหรับสินค้าแบบใช้หมดไว หรือจำเป็นต้องมีหลายชิ้น
4. ราคาแบบบุฟเฟ่ต์
- เช่น จ่าย 50 บาท เลือกได้ไม่อั้นตามที่บรรจุได้ในตะกร้า
- สร้างปฏิสัมพันธ์และความตื่นเต้น มีลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำสูง

กระตุ้นยอดขายต่อเนื่องด้วย SMS Marketing
ไม่ใช่แค่ตั้งราคาดีแล้วจะพอลูกค้ามาซื้อ การสื่อสารกับลูกค้าก็สำคัญ กลยุทธ์การตลาดอย่างการกระตุ้นยอดขายด้วย SMS Marketing เป็นอีกหนึ่งวิธีช่วยกระตุ้นยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และตรงกลุ่มเป้าหมาย
ทำไมต้อง SMS Marketing?
- ข้อความถึงลูกค้าทันทีในโทรศัพท์
- ต้นทุนต่ำกว่าวิธีการโฆษณาอื่นๆ
- เหมาะทั้งสำหรับลูกค้าเก่าและใหม่
แนะนำเครื่องมือ: StoreHub SMS Marketing
- สามารถเลือก Segment ลูกค้า
- ตั้งเวลาแคมเปญล่วงหน้า
- วัดผลได้แบบเรียลไทม์
เทคนิคการทำ SMS ให้โดนใจ
- สร้างข้อความที่กระชับ ชัดเจน เช่น “วันนี้วันเดียว! คลิกเพื่อรับส่วนลด 300 บาท”
- ส่งข้อความในเวลาที่คนมีเวลาหยุดอ่าน เช่น ช่วงเที่ยง หรือเย็นหลังเลิกงาน
- แทรกโปรโมชั่นที่น่าสนใจตามฤดูกาล เพิ่ม FOMO (Fear of Missing Out)
บทสรุป
การตั้งราคาสินค้าที่ดีไม่ได้จำกัดแค่การบวกราคาจากต้นทุนเท่านั้น แต่ต้องอิงหลายปัจจัย ตั้งแต่แผนกลยุทธ์ทางธุรกิจ ความเข้าใจในพฤติกรรมลูกค้า ผลกระทบของภาษี ไปจนถึงเทคนิคตั้งราคาทางจิตวิทยา และการสื่อสารโปรโมชั่นแบบยิงตรง เช่น SMS Marketing
หากคุณเป็นพ่อค้าแม่ค้ามือใหม่ หรือเจ้าของกิจการที่ต้องการเพิ่มยอดขาย ลองนำสูตรและเทคนิคจากบทความนี้ไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณ เริ่มวันนี้เพื่อให้สิ่งที่คุณขาย กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนอยากซื้อ และซื้อซ้ำแบบต่อเนื่อง
เริ่มต้นวางกลยุทธ์ราคา และอย่าลืมเสริมความสัมพันธ์กับลูกค้าด้วยเครื่องมือระดับมืออาชีพอย่าง StoreHub SMS Marketing วันนี้
